Game References : กว่าจะมาเป็น PRESS NOTE TO START
- pattaraping
- Dec 17, 2020
- 1 min read
ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่า "วิดีโอเกม" เป็นส่วนหนึ่งของสังคมมนุษย์ที่มีความสำคัญไม่ว่าจะในด้านความสนุกสนาน ธุรกิจหรือด้านใดๆ ก็ตาม เเละเราทุกคนน่าจะเคยสัมผัสกับสิ่งที่เรียกว่า "เกม" หรือ "วิดีโอเกม" กันมาบ้างไม่มากก็น้อยหรือไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง นอกจากนี้เกมยังมีเเรงดึงดูดบางอย่างต่อกลุ่มคนบางกลุ่มอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่นเวลาเราหยิบประเด็นของสิ่งที่เรียกว่า "เกม" ขึ้นมาพูดกับเด็กเล็กๆ "ฮีโร่ตัวนี้เก่งมั้ย" "เคยเล่นเกมนี้รึยัง" "เคยเล่นได้คะเเนนเท่าไหร่" เด็กบางคนอาจจะอินกับสิ่งเหล่านี้มากเเบบรีบเเย่งตอบน้ำไหลไฟดับ เป็นการดึงความสนใจของเด็กได้ในระดับนึงเลยทีเดียว นี่ยังไม่พูดถึงเหล่าเกมเมอร์เดนตายที่เล่นเกมเป็นชีวิตจิตใจ(เช่นคนเขียน)อีกนะ!
ในวัยเด็กของคนอย่างเราๆ คงไม่มีอะไรสุขใจไปมากกว่าการได้นั่งๆ นอนๆ เล่นเกมที่เราชอบ เเละเเน่นอนเราเเทบจะสามารถขลุกอยู่กับเกมเหล่านั้นได้ทั้งวี่ทั้งวันอย่างไม่มีเบื่อหน่าย เกมจึงเป็นเหมือนกับเบ้าหลอมชีวิตของใครหลายๆคน บางทีความวิปริตในจิตใจบางอย่างสำหรับคนในวัย 20 ต้นๆอย่างผู้เขียนก็มาจากเกมที่เคยๆเล่นนี่เเหละ ถึงจะไม่ได้เล่นเเบบเป็นเเฟนพันธ์เเท้เคยเล่นเกมทุกเกมบนโลกเเต่ก็เคยผ่านมือมาหลายเกมเเละปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่าเราเองก็น่าจะเข้าข่ายเด็กติดเกมคนนึง
พอมาถึงจุดนึงของชีวิตที่ต้องทำโปรเจคนี้ ความคิดเกี่ยวกับตัวอย่างของเกมในความทรงจำที่เราอยากจะลองสร้างขึ้นมามันมีมากมายเหลือเกิน เเต่วันนี้จะมาเล่นให้ฟังถึงบางเกมที่เรานึกถึงตลอดเวลาที่ทำโปรเจคนี้เเล้วกัน
Pokemon Series
เกมในตำนานเกมนึงที่อยู่มาทุกยุคทุกสมัย โด่งดังจนถูกเอาไปสร้างต่อเป็นการ์ตูน อนิเมชั่น เเละภาพยนตร์มากมาย ว่าด้วยเรื่องราวของโลกที่มีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า Pokemon ที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีพลังพิเศษ ความสามารถเเละเอกลักษณ์เฉพาะตัว เราจะสวมบบาทเป็นตัวละครเอกที่เรียกว่าเป็น Pokemon Trainer ฝึกโปเกม่อนของเราให้เก่งกาจเเละไปท้าสู้กับเเชมป์เปี้ยนของภูมิภาคเเละกลายเป็นเเชมป์เปี้ยนคนใหม่ เอาเป็นว่าหัวใจหลักสำคัญของมันคือการเดินทาง จับโปเกม่อนเเละเอามาสู้กัน ประมานนั้นเเหละ
เป็นเกมที่สร้างความเป็น OCD ให้กับผู้เขียน (ไม่ได้ล้อเล่น เป็นจริงๆ) เเละเป็นเกมที่เติมเต็มชีวิตวัยเด็กของผู้เขียนมากๆเกมนึง ภาพกราฟิกที่เป็นเพียงเเค่ภาพ 8 บิตในฉาก 2 กึ่ง 3 มิติ ตัวละครที่ออกเดินเเละผจญภัยในโลกอันกว้างใหญ่ไปพร้อมกับเหล่าโปเกม่อนที่จะอยู่กับเราเเละเผชิญเรื่องราวต่างๆไปพร้อมกับเรา(ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเหมือนการทารุณกรรมด้วยการให้ออกไปสู้กับโปเกม่อนตัวอื่น) พร้อมด้วยเสียงดนตรีประกอบที่ติดหู เล่นทีไรเป็นต้องเปิดเสียงไม่งั้นไม่อิน ทำให้กราฟิกภาพ 8 บิตของเกมนี้เป็นภาพจำที่ชวนให้คิดถึงสำหรับผู้เขียนไม่ว่าจะเติบโตขึ้นมาซักเเค่ไหน


Megaman Series
เป็นเกมที่ผู้เขียนไม่ได้เล่นจนจบทุกภาคเเต่ก็ชอบอะไรบางอย่างในเกมนี้จนต้องเอามาเป็นตัวอย่างในการทำเกมในครั้งนี้เเละเอามาเขียนในบทความนี้ ตัวเกมเป็นเกม Platform (เกมเดินตามฉากมุมมองด้านข้างเเบบ 2 มิติ ในยุคปัจจุบันอาจจะมีการพัฒนากลายเป็นมีความ 3 มิติผสมบ้าง) ไม่ได้มีอะไรมาก เราจะรับบทเป็นตัวละครสีฟ้าๆที่จะเดินยิงตัวละครตามฉากไปเรื่อยๆจนไปถึงบอสของเเต่ละด่าน จนครบบอสทั้งหมด 6 ตัวจึงจะปลดล้อคให้ไปสู้กับบอสสุดท้ายของเกม ซึ่งความพิเศษของเกมนี้ที่ผู้เขียนพูดถึงเเละค่อนข้างชอบเป็นการส่วนตัวคือการที่ตัวเกมให้อิสระในการที่เราจะไปเริ่มที่ด่านของบอสตัวใดก่อนก็ได้ โดยบอสเเต่ละตัวเมื่อพิชิตได้ก็จะให้ความสามารถเรามา เเละความสามารถบางอย่างสามารถใช้เพื่อต่อสู้กับบอสตัวอื่นๆได้ง่ายขึ้น นั่นทำให้เส้นทางการเดินทางพิชิตบอสเเต่ละด่านของเเต่ละคนจะเเตกต่างกันเเละกลายเป็นเรื่องที่สนุกในการที่จะพูดคุยเเลกเปลี่ยนกัน (ถึงมันจะมีสูตรสำเร็จว่าควรไปบอสตัวไหนก่อนตัวไหนเเล้วจะจบเกมได้ง่ายเเละเร็วก็เถอะ)

Legends of Zelda Series
หากจะให้พูดถึงไอเดียของการเริ่มจากเป็นคนธรรมดาที่เริ่มจากศูนย์สู่การเป็นฮีโร่ผู้พิชิตเกม หรือ Zero to Hero เเล้ว เกม Zelda นี่เเหละเป็นตัวอย่างที่ดีเลยละ จุดมุ่งหมายของตัวเกมไม่ได้มีอะไรที่ยุ่งยากซับซ้อน เราจะได้รับบทเป็นตัวละครในชุดสีเขียวที่ชื่อว่า Link (ไม่ได้ชื่อ Zelda เเบบที่หลายคนเข้าใจ) ต้องออกผจญภัยไปในโลกกว้างเพื่อช่วยเหลือเจ้าหญิง Zelda จากวิกฤตการต่างๆ (ใช้คำว่าวิกฤตการเพราะนัง Zelda นี่สร้างวิกฤตบ่อยเหลือเกิน) ตัวเกมจริงๆมีเนื้อเรื่องที่หลากหลายเเละซับซ้อน(ที่ซึ่งผู้เล่นก็ไม่ได้เล่นครบทุกภาคอีกนั่นเเหละ) บางทีนอกจากจะหลายไทม์ไลน์เเล้วอาจจะยังหลายจักรวาลอีกด้วย บางภาคก็เกี่ยวกันบ้างไม่เกี่ยวกันบ้างเเต่ไอเดียหลักๆยังคงเดิมคือการออกไปผจญโลกกว้างเเละทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองเก่งขึ้น(ถ้าไม่นับรวมพวกจิตวิปริตที่ชอบทำ Speed run เล่นให้จบให้เร็วที่สุดน่ะนะ) ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนเเล้ว ความสนุกของเกมนี้คือการที่เราค่อยๆพัฒนาตัวเองจากการเริ่มต้นด้วยตัวเปล่าเเละอาวุธง่อยๆ สู่การควงดาบ Master Sword สุดเท่พร้อมกับโล่ Hylian Shield ไปฟาดหัวเล่ามอนสเตอร์เเละปีศาจร้ายที่มาคุกคามเจ้าหญิงของเรา
Final Fantasy XIV
ไฟนอลที่เดือดพอๆกับสอบไฟนอล เกม MMORPG (Massive Online Role Playing Game) ที่เป็นภาคต่อของเกมที่ผู้ผลิตคิดว่ามันจะเป็นเกมสุดท้ายของค่ายเเต่รู้ตัวอีกทีก็ลากมาจะขึ้นภาคที่ 16 เเล้ว ปกติเเล้วเกมตระกูลนี้จะเป็นเกมที่อยู่ในลักษณะที่บ้านเราเรียกว่า "เกมภาษา" เพราะช่วงเเรกที่เกมภาคเเรกๆเข้ามาในไทยมันมีเเต่ภาษาญี่ปุ่นเต็มไปหมด ครั้นจะเดาก็เดาถูกบ้างผิดบ้าง ทำเอาเด็กไทยหลายคนต้องนั่งจำอักขระนิฮงเหล่านี้กันตาเเฉะ
เเต่สำหรับภาคที่ 14 นั้นเเปลกไปซักหน่อย เพราะอยู่ในรูปเเบบของเกมออนไลน์เต็มรูปเเบบที่ยังคงเปี่ยมคุณภาพเช่นเคย จริงๆผู้เขียนก็เพิ่งจะมีโอกาสได้ลองสัมผัสเกมภาคนี้อย่างจริงจังเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ลังเลอยู่นานมากเพราะมันเป็นเกมที่ต้องจ่ายค่าบริการออนไลน์ (เเอร์ไทม์) เพื่อเล่นทุกเดือน เเต่ด้วยคำเเนะนำเเละชักชวนอย่างไม่หยุดหย่อนของเพื่อนสนิทจึงหลงมาลองเล่นในที่สุดเเละพบว่า นี่มันเป็นโลกที่น่าประทับใจเกินจะบรรยายจริงๆ ระบบของเกมที่ค่อนข้างน่าทำความรู้จัก รูปลักษณ์ตัวละครที่น่าสนใจ การออกเเบบฉากที่อลังการ กลุ่มสังคมที่น่ารักเเละอบอุ่นมากๆ เเละ "เพลงประกอบ" ที่เป็นอะไรที่สุดยอดสุดๆ
Nobuo Uematsu คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเพลงประกอบของเกมตระกูล Final Fantasy ตั้งเเต่ยุคเเรกๆ ซึ่งฝีมือของเเกเรียกได้ว่าไม่ตกเลยจริงๆ หลายๆคนที่ชื่นชอบตัวเกม Final Fantasy ก็มีเหตุผลมาจากตัวเพลงประกอบนี่เเหละ เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ส่งผลต่อเกมเเบบได้ผลต่อตัวเกมเเบบเกิน 100 เปอร์เซนต์เลยทีเดียว เกมนี้จึงกลายเป็นเเรงบัลดาลใจในการสร้างเกมที่มีดนตรีหรือไอเดียดนตรีเจ๋งๆบ้าง เเละกลายเป็นจุดเริ่มต้นของไอเดียในโปรเจค PRESS NOTE TO START นี้นั่นเอง
จริงๆยังมีเกมอีกมากที่อยากเล่าให้ฟัง ที่ซึ่งเป็นเกมที่อยู่ในหัว ความทรงจำเเละจิตนาการของผู้เขียนอยู่ตลอด เเต่หลักๆส่วนใหญ่ที่ค่อนข้างมีผลต่อโปรเจคนี้ก็จะราวๆนี้เเหละครับ ไว้ถ้ามีโอกาสจะจับเข่าเล่าให้ฟังอีกก็เล้วกัน สำหรับ Blog นี้ก็คงพอไว้เเค่นี้ก่อนละกันนะ
ไว้เจอกันในเกม
:)
Comments